วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

"เรียนงานความรักครอบครัว"

วันนี้ อยากเล่าเรื่องเก่า ความหลังครับ (เริ่มแก่) เพื่อเป็นข้อคิดให้กับลูกๆ ที่กำลังจะหางานทำ  ที่อยากเล่าสู่กันฟังคือ "ไม่เลือกงาน"

          (เรียน) 
          การเรียนผมไม่เด่นเลย จะเป็นด้อยด้วยซ้ำ อ่านและเขียนได้ ป.3 - ป.4 จบ ป.6 = 74 % เท่าที่จำได้  มัธยมต้น เรียนโรงเรียนชายล้วน ก็เรียนกลางๆ จบ ม.3 มาเรียน ม.4 โรงเรียนมัธยมใหญ่จังหวัด อันนี้ไม่กลางครับ เรียนอ่อนสุด ติด 0 ร. มส. ครบ เรียนแย่เอาวัยรุ่นตอนต้น แต่ดีที่สอบเข้าระดับวิทยาลัย การเรียนในวิทยาลัย ก็ไม่มีความดีงามอะไรเลย ซึ่งในสายตาของเพื่อนๆ คือต้องช่วยมัน (แย่สุดของห้อง) ตั้งแต่ปี1 ผ่านมา ปี2 ผ่านไป อย่างไรอย่างนั้น  กระทั้ง เรียนต่อ 2 ปีหลัง(ปริญญาตรี) คิดเป็น ปี3 ก็คงความเดิมอย่างนั้น



          กระทั้งวันหนึ่ง ผลการสอบกิจกรรมกลุ่มวิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์ประกาศผลสอบโดยอิงกลุ่ม   ปรากฎว่า กลุ่มที่มีผมอยู่ด้วยได้คะแนนน้อยที่สุดของห้อง เพื่อนๆในกลุ่มถามกันว่าใครเป็นตัวถ่วงคะแนน และแน่นอน มีเพื่อนเตือนสติผมว่า "มึง"เป็นต้นเหตุนั้น



          ผมรู้สึกน้อยใจว่า "กูคือแบบนั้นในความรู้สึกเพื่อน" และเพื่อนคนนั้น เขาก็ซีเรียส มากๆ จนเราไม่กล้าจะพูดว่า"แล้วจะให้เราทำอย่างไร?" เพราะสถานการณ์ในวันนั้น แย่มาก และผมจำได้ติดตาติดความรู้สึกถึงวันนี้ไม่หาย เพราะเพื่อนคนนั้น คือคนที่เรารักและสนิทมาก
          ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าจะทำอย่างไร ? พยายามหาคำตอบ นั่งนึก นอนนึกอยู่หลายวัน มาสะดุดคำว่า"กูคือขี้ล้ายแท้ กูทำอะไรอยู่? คาหยั๋ง? ผูฮ้ายก่ะผูฮ้าย โง่..ปึก...ป่านนั้นอยากมักสาว"  เท่านั้นหล่ะครับ เห็นคำตอบลางๆ ก็เกิดแรงผลักให้เปลี่ยนตัวเองครั้งประวัติศาสตร์ครั้งแรกของชีวิต



          ผ่านไปอีกหนึ่งภาคเรียน วันหนึ่ง หลังจากสอบวิชาบริหารธุรกิจ อาจารย์ประกาศผลสอบแล้ว เพื่อนๆหลายคนไม่พอใจอาจารย์ที่ตัดเกรดเพื่อนๆได้ ค (ควาย) จนเป็นเรื่องที่อาจารย์ต้องลงมาเคลียร์เรื่องนี้ พออาจารย์มาถึงที่ห้อง ก็ทิ้งปึกกระดาษคำตอบข้อสอบกลางหน้าห้อง ให้เพื่อนๆได้ตรวจสอบ พร้อมกับพูดว่า เพราะไอ้เจ้าปรีดา มันได้ ข.(ไข่) ใช่ไหม ? ผมก็เลย "เอ๊า กูอีกแล้ว เป็นต้นเหตุนั้น" แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกไปตรวจสอบ หลังจากนั้น อาจารย์ก็ได้ให้ข้อคิดต่างๆ เยอะเลยครับ ส่วนตัวผม ไม่ติดใจเพื่อนอะไรหรอกครับ ถ้าว่าผิดถูก ก็ผมนี่แหละที่เคยแย่ๆในสายตาของเพื่อนๆมาตลอด ..
          จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ยิ่งทำให้ผมต้องพิสูจน์ เป็นความกดดันอยู่นะครับ เพราะเพื่อนๆที่ยังไม่ยอม เชื่อว่ายังมีอยู่ จ้องอยู่ จนกระทั้ง ปีสุดท้าย มีเพื่อนคนนึงบอกผมว่า ผมทำได้ ถ้าตั้งใจ และคำพูดของเพื่อนคนนี้ ก็เป็นแรงใจให้ผมอ่านหนังสือสอบบรรจุเข้ารับราชการครูได้

          (ความรัก,งาน)
          ผมเริ่มต้นงานแรก ด้วยการเป็นพนักงาน(ขาย) หจก.อุดรแสงสถิตย์ ในตัวเมืองอุดรธานี หลังจากที่จบการศึกษา อนุปริญญา(2ปี) ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2530 ทำงานได้วันเดียว น้ำก็ท่วมอุดร เป็นข่าวใหญ่พาดหัว นสพ.ไปหลายวัน วันที่สอง ผมไปลาออก เนื่องจาก น้ำท่วมบ้าน ต้องลุยน้ำท่วมระดับเอวออกมาจากบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปลาออก ได้รับค่าจ้าง 60 บาท(ไปซื้อยาแก้ไอ)
          งานที่สอง หลังจากจบปริญญาตรี พ.ศ. 2532 ก่อนอื่นเล่าให้ฟังก่อนคือ หลังจากสอบขึ้นบัญชี รับราชการครูไว้ ได้ลำดับที่ 46 (บัญชีรวมทั่วประเทศ)ช่วงรอบรรจุได้ตระเวณหางานทั่วกรุงเทพฯปริมณฑล หอบเอกสาร สำเนาต่างๆ เต็มแฟ้ม เดินหางานทั่วกรุงเทพ (อยากมาทำงานที่กรุงเทพ) แต่ไม่มี บริษัทไหน รับ......หางานอยู่เดือนเต็ม ไม่มีงานทำ สุขภาพก็ไม่ดี ช่วงนั้น ถนนพระราม2 กำลังฝุ่น..ลมพิษ ขึ้น เลยต้องกลับมารักษาตัวที่อุดรธานี 
          ช่วงที่ป่วยนี้ ปัญหาหลายอย่างเข้ามาในชีวิต โรคเดิม(หลอดลมอักเสบ) ก็ยังไม่หาย และอาการลมพิษ ก็ยังไม่หาย  (มรสุม รุมเร้า)
           ในช่วงที่ป่วย ผมก็ช่วยงานช่างกับพ่อ (ซ่อมรถ) ช่วงนี้เองที่ผมได้ความรู้เรื่องช่างจากพ่อ จนกระทั่งเดือน กรกฎาคม 2533  เพื่อนได้บรรจุข้าราชการครูที่ กิ่งอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย ผมมีโอกาสได้ไปส่งแสดงความยินดี ซึ่งก็เป็นปกติ ผมจะไปส่งและยินดีกับทุกคน(ถ้าชวน) ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ที่ไหนผมก็ไป แต่เพื่อนคนนี้ พิเศษกว่าใคร เป็นเพื่อนที่สนิทจนอยากบอก.......... แต่............
          พรุ่งนี้ , วันต่อไป ไม่แน่นอน เป็นเพื่อนกันก็ดีที่สุด เงื่อนไขไม่รุงรัง


          ผมก็ยังคงไม่ได้มีงานมีการทำอะไร ยังตกงานอยู่บ้านไปวันๆ รักษาตัวไปเรื่อยๆ ในระหว่างรักษาตัว ก็มีโรคส่งเสริมมาเพิ่ม คือ ลำไล้อักเสบ เนื่องจากกินอาหารรสจัดเกินไป ต้องขั้นนอนโรงพยาบาลหลายวัน อันนี้ก็อีกโรคที่รบกวนสุขภาพในเวลานั้น
       หลายเดือนต่อมา ทราบว่าเพื่อนผ่าตัดไส้ติ่ง ที่ โรงพยาบาลบึงกาฬ ช่วงเดือน ธันวาคม 2533  (หนาวมาก)  ไม่ได้คิดเยอะ ผมตัดสินใจไปเยี่ยมเพื่อนทันที ด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์ไปนี่แหละ  ทางแค่ 191 ก.ม.แต่หนาวนี่แหละ เต็มๆ ตี 4 วันพฤหัสบดี ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2533 หนาวถึงกระดูก...... หน้าชา ก้นชา  จนถึง รพ.บึงกาฬ ก้อ 9 โมงครึ่ง ขึ้นไปเยี่ยมก็เจอคุณแม่สีดาและเพื่อนใหม่ของเพื่อนนะ(ว้าว) บอกเลยว่า ความรู้สึกตอนนั้นปั่นป่วนมาก ข้าวเช้าก็ยังไม่อะไรเลย บอกตัวเองว่า "หนีๆ อย่ายูโด่น" ผมเลยบอกแม่สีดาและเพื่อน แล้วรีบเดินออกมา และคนที่เดินตามมาคือเพื่อนคนใหม่ของเพื่อน(หนุ่มจ่าทหารเรือ) เขารีบถามผมว่า เป็นอะไรกัน (ใจร้อนดูออก) นึกในใจ ถ้าบอกเป็นแฟน จะเกิดรัยขึ้นฟะ  "เป็นเพื่อน" แค่นั้น (ก็พูดความจริง) ผมขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาจากโรงพยาบาล  จอดศาลาข้างถนน นั่งอยู่พักใหญ่  ที่พูดไปเมื่อกี้ พูดถูกแล้วใช่หรือไม่
          ผมเหนื่อยมาก สุขภาพก็ไม่ค่อยดี เลยจะไปพักนอนค้างคืนบ้านคุณน้า (ครูประยูร เรียบร้อย) ที่โรงเรียนบ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย พอเช้าผมถึงจะกลับอุดร คืนนั้นกินยาแล้วผมก็หลับไม่รู้เรื่องเลยครับ มารู้สึกตัวก็สว่างแล้ว ว่าจะออกจากบ้านน้า ตี4 เหมือนมาจากอุดร 
          ก่อนกลับ ผมลังเลใจ อยากไปเยี่ยมอีกเพราะวันมาไม่ได้พูดได้คุยอะไรมาก  เลยเข้าไป รพ.บึงกาฬอีกครั้ง เพื่อลากลับ ก็ยังคงเห็นรองเท้าหน้าห้อง(บูททหาร)  รีบบอกลาเพื่อนและลาแม่ที่ไปเฝ้าไข้ แล้วผมก็กลับแบบไม่รู้ว่าถึงไหนถึงที่ใด เห็นแต่ถนนที่ยาวไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะถึงบ้าน ...ถ้าถึงบ้าน ผมว่าผมจะอยู่แต่บ้าน ไม่อยากไปไหน หรือเจอใคร   ระหว่างทาง หนาวร้อนไม่รู้ รู้แต่ทำไม ถนนเส้นนี้มันมีแต่เราคนเดียว รู้สึกแบบนั้น ก้นชามานาน ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  ถึงอำเภอเมืองหนองคายก็เกือบลืมเติมน้ำมัน เบลอไปหมด
          ปัญหาของผม นอกจากสุขภาพกาย ก็มีอย่างอื่นด้วย(ยอมรับ) มีอะไรเข้ามาให้เครียดๆหลายอย่าง การที่เพื่อนมีคนมาดูแล ก็ถูกของเพื่อน คนที่มีงานมีการ รับราชการ มียศตำแหน่ง แล้วเราล่ะทำอะไรอยู่ งานการก็ไม่มีแล้วจะเป็นหลักเป็นประกันอะไรให้เขา
          วันพฤหัสบดี ที่ 3 มกราคม พ.ศ.  2534  หลังปีใหม่ ผมตัดสินใจไปหางานทำที่เชียงใหม่ เพราะ อยากไปให้ไกลๆ  กรุงเทพฯก็หางานไม่ได้ ลองไปหาที่เชียงใหม่ดู ปรากฎว่าได้งานทำครับ เป็นงานร้านถ่ายรูป เงินเดือน 1,200 บาท(อยู่กินฟรี) เนื้องานคือ ตื่น ตี 2 จัดภาพเข้ากรอบ ตี4-5 ไปเคาะห้องพักโรงแรมเพื่อขายรูปฝรั่งที่ถ่ายเวลาฝรั่งมากินขันโตก เสร็จ ก็มาเตรียมถ่ายรูปฝรั่งช่วงเช้า กลางวัน เวลามานั่งขันโตก ถึงมื้อค่ำ เสร็จก็เอาฟิล์มไปล้างอัด 4 - 5 ทุ่ม ถึงได้นอน 3 ชั่วโมง ผมทำได้ 2 เดือนครับ เนื่องจากร่างกายที่ย่ำแย่ 2 เดือนที่ทำงานที่นี่ ร่างกายย่ำแย่กว่าเดิมอีก หวัดเรื้อรังกำเริบ ไอตลอด
  



         หลังจากที่ลาออกจากร้านถ่ายรูป ก็ตระเวณหางานใหม่ ทำให้เกิดคำถามในใจว่า เราเอาปริญญาตรีมาทิ้งรึป่าวนะ...  วุฒิปริญญาตรี เงินเดือนแค่ 1,200 บาทนี่นะ  เผอิญไปเจอป้ายรับสมัครงานของร้านใหม่ทำหมวก หน้าโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย รับสมัครพนักงานขับรถ วุฒิ ม.3 เกิดความสนใจอยากทำงานและใช้วุฒิ ม.3 สมัคร เอาไว้ก่อนแต่ก็ไม่ง่ายนัก ต้องมีคนเซนต์ค้ำประกันการทำงาน  ผมต้องกลับมาที่อุดร ให้พ่อติดต่อ อาจารย์ วิทยาลัยครูเชียงใหม่ มาค้ำประกันให้ เลยได้ทำงาน ด้วย วุฒิ ม.3 ร้านใหม่ทำหมวก เขาก็ไม่ถามอะไรมาก มีวุฒิ มีใบขับขี่ มีคนค้ำ จบ  แล้วเริ่ิมงานในเดือนมีนาคมเป็นต้นไป เงินเดือนคือ 1,800 บาท  มีบ้านพักให้ 


           ประสบการณ์ในการทำงาน การเป็นพนักงานขับรถส่งของ  ผมได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง เส้นทางทุกตรอกซอกซอยในเชียงใหม่ ภาษาคำเมืองที่หัดอู้ไม่ยาก  และได้เรียนรู้ได้ข้อคิดบางอย่างเกี่ยวกับคนทำงาน ในตำแหน่งคนขับรถ  ผมไม่รู้ครับ ว่าในสายตาของใครจะมองอย่างไรกับคนขับรถส่งของอย่างผม  และประสบการณ์อีกอันนึงของผมในการทำงานคือ ได้รู้สึกว่าในสังคมชนชั้นทำงาน มีแบ่งๆ เหยียดๆ แต่ไม่ใช่ทุกคน มีบางคนเท่านั้น ที่มีมุมมองที่ต่างมากๆ 
          ยกตัวอย่างสาวประจำบูธแบรนด์สินค้าดังคนนึงความมั่นใจสูง เป็นคนสวย  พูดดังฟังชัด ที่ไม่ค่อยจะพูดดีกับผม(รู้สึกในเวลานั้น)  เวลาผมยกของไปให้ เขาไม่อยากพูดอยากบอกอะไรกับผมนะ ผมรู้สึกได้ ซึ่งผมก็จำเป็นต้องถาม จะวางที่ใด ได้ยินแต่เสียงสั้นๆห้วนๆว่า "ตรงนั้นแหละ" โดยที่ไม่ได้หันมามอง  หรือโอเคแล้ว  ผมก็ได้แต่นึกขำในใจว่า เคยเห็นแต่ในหนังในละคร ไม่นึกว่าจะเห็นของจริง  เหยียดๆ รังเกียจๆ  นั้นเลย  
          3 เดือนผ่านไป.. ผมทำหน้าที่พนักงานขับรถของ หจก.ใหม่ทำหมวก ด้วยดีครับ ไม่มีประวัติความเสียหายอะไร แต่ก็เกือบมีอุบัติเหตุเพราะขี่มอเตอร์ไซด์ของห้างไปส่งของแล้วลูกสูบติด โชคดีที่ไม่ล้มหัวฟาด  และเคยได้รับคำชมจากผู้ใหญ่ของห้างว่าขยัน ก็เป็นขวัญกำลังใจมากๆครับ ไม่เสียชื่อคนอีสาน ถ้าว่างจากการขับรถส่งของ ผมก็ชอบเดินขึ้นไปข้างบนห้าง ได้พูดคุยกับพี่คนหนึ่งที่แผนกบัญชี ซึ่งผมประทับใจพี่สาวคนนี้มากๆ เป็นกันเอง ไม่ถือตัว และผมรู้สึกถึงความไม่รังเกียจ ไม่เหยียดเหมือนคนอื่น  มีบางครั้งที่ผมเสนอตัวช่วยงาน (คีย์ข้อมูลลงคอมฯ)  วันนึงผู้จัดการฯ มาเห็นผมพิมพ์แบบพิมพ์สัมผัส เลยโดนสงสัยว่าจบอะไรมา ทำไมมาขับรถ  ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนอีกแยกของผม 




          มิถุนายน  พ.ศ. 2534  ผู้จัดการ สั่ง  ไม่ให้ผมขับรถอีกต่อไป (ย้ายแผนก) ให้ผมมาทำแผนกโปรโมชั่น เพื่อส่งเสริมการขายของห้างแทนการเป็นพนักงานขับรถ ก็เป็นจุดเปลี่ยนของการทำงานครับ เงินเดือนก็ปรับขึ้นมาเป็น 2,500 บาท  จากถือพวงมาลัยมาจับไมค์ เชิญชวนโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าของร้านเวลาไปออกบูธแสดงที่ห้างใหญ่ๆในเชียงใหม่  ถึงช่วงนี้ ชีวิตเริ่มมีอะไรดีๆเข้ามา สุขภาพก็เริ่มดี มีเงินเก็บจนสามารถซื้อทองหนัก ครึ่งสลึง ให้แม่ได้(ภูมิใจมากครับ) เราไม่มีเงินเดือน เดือนแรกให้แม่ แต่เรามีทองให้แม่  เวลามีประชุม เขาก็ให้เรามีข้อคิดความเห็นในงานที่ทำให้เพื่อนร่วมงานได้ฟัง จากที่เคยนั่งเงียบๆ (พขร.)  และอีกความรู้สึกอันนึงก็คือ พี่ๆน้องๆพนักงาน มีหลายคน ที่ไม่เคยจะทักทายอะไรกัน ก็มีเข้ามาทักทายกัน มาพูดมาแซวกันบ้าง และสาวพีซีบางคนก็ยังมองเราหัวจดเท้า คือยังสงสัยว่าไอ้ผอมๆดำๆนี่นะ 
          หลังจากที่ได้ทำแผนกโปรโมชั่นซักพัก ผมก็ได้รับข่าวดีจากน้องสาวที่อุดรธานี โทรมาบอกว่า ผมได้บรรจุครู ตามที่ได้สอบขึ้นบัญชีไว้ ที่กรุงเทพฯ  ....  น้องสาวบอกว่า พ่อแม่ ดีใจมาก ผมก็เช่นกัน และนั้นก็หมายความว่า ผมต้องลาออกสิ้นเดือนนี้แล้ว
          การลาออก ต้องแจ้งความประสงค์ล่วงหน้าครับ เหลือประมาณ สัปดาห์นึง จะครบเดือนมิถุนายน ผมไปลาออก แจ้งวัตถุประสงค์ว่า ลาออกไปรับราชการครู ซึ่งทางร้านก็ยินดีด้วยและยังอยากให้หาคนที่สนใจมาทำงานที่นี่  และอีก 8 วันสุดท้าย ผมทำงานที่นี่อย่างมีความสุขครับ เขาให้ไปไหนผมไปหมด ออกบูธที่ไหนไปหมด งานไหนผมก็ไม่เกี่ยง พี่ๆน้องๆเพื่อนร่วมงาน แสดงความยินดีกับผม และรวมถึงคนที่เคยเหยียดคนขับรถอย่างผมด้วย
 

         1 กรกฎาคม 2534 เข้ารับการบรรจุเป็นข้าราชการ ตำแหน่ง อาจารย์ 1 ระดับ 3 โรงเรียนเทพลีลา บางกะปิ กรุงเทพมหานคร   ชีวิตเปลี่ยนไปมาก ได้รับโอกาส ได้รู้จักพี่น้องเพื่อนครูร่วมวิชาชีพมากหน้าหลายตา อีกทั้งยังได้กลับมาพบเพื่อนจบมัธยมด้วยกัน(ยังเรียนรามไม่จบ) ซึ่งได้มาพักที่หอพักเดียวกัน

เมื่อมีเพื่อนเยอะ กิจกรรมหลายอย่าง รอกำหนดในทุกเสาร์อาทิตย์ เที่ยวทะเลเดินห้างบ้าง  งานราชการที่ทำก็เป็นไปด้วยดี สมบูรณ์ สุขภาพก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เป็นช่วงเปลี่ยนชีวิตที่จดจำไม่ลืม มีเหตุการณ์ครั้งสำคัญๆ เกิดขึ้น เช่นการปฎิวัติรัฐประหารในปี 2535 หรือ พฤษภาทมิฬ ทั่วกรุงเทพ ประกาศเคอร์ฟิว โรงเรียนหยุดทั้งกรุงเทพ ผมหลบไปอยู่กับน้องชายที่ระยองกินทุเรียนหลายวัน


          2 ปีต่อมา..
          ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพได้ 2 ปี สนุกกับงาน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนจบมัธยมด้วยกัน จนลืมเพื่อนคนนึง จู่ๆก็วนเข้ามา(คิดถึงนั้นแหละ) 2 ปีผมไม่ได้ส่งข่าวให้เพื่อนๆที่จบ ป.ตรี ด้วยกันมากนัก จะมีเพื่อนสนิทบางคนเท่านั้นที่ทราบไม่กี่คน



          มีครั้งนึง กรมสามัญศึกษา เปิดสอบครู และมีเพื่อนที่จบ ป.ตรี ด้วยกัน ทั้งที่ยังไม่บรรจุ และบรรจุแล้วไปสอบ ที่จังหวัด อุบลราชธานี  เพื่อนที่บรรจุแล้วก็มาลงสอบเพื่อย้าย เนื่องจากไม่ได้เจอเพื่อนนานแล้วก็เลยมาร่วมด้วยแต่ไม่ได้สอบนะครับ พอมาเจอกันที่สนามสอบ มีเพื่อนคนนึงแนะนำผม ให้ไปหาข้อมูลรับสมัครงานที่แรงงานจังหวัด ว่างั้น..แต่ผมไม่ งง ครับ เพราะผมน่ะ ในสายตาของเพื่อนๆ คือ ไม่มีความโดดเด่นเรื่องเรียน เข้าใจครับ  เพื่อนอาจยังไม่รู้  แต่ยังไม่ทันจะบอกว่าเราได้งานทำแล้ว ก็มีเพื่อนอีกคนบอกก่อน ว่าผมเป็นครูมา 2 ปีแล้ว นี่ล่ะน๊า  เวลาเรียนก็ไม่ตั้งใจ ในสายตาเพื่อนๆก็เลยมองว่าเป็นแบบนั้น
          แต่ที่สำคัญคือ เพื่อนที่ผมคิดถึง ไม่มีตรงนี้ ไม่มา ผิดหวังเล็กน้อยนึกว่าจะได้เจอกัน คิดว่าเขาคงมีความสุขที่ บุ่งคล้า แล้วล่ะ เวลาเพื่อนๆพูดถึงเพื่อนคนนี้ เพื่อนๆ ทุกคนจะมองมาที่ผม ห่วงใยผม ก็รู้นะ ก็แล้วแต่เพื่อนๆ แต่ก็บอกไปว่า ผมไม่ได้ติดต่อ 2 ปีกว่าแล้ว
          2 ปีที่ผ่านมา ยอมรับว่า มีคนพิเศษ เข้ามารู้จักคุ้นเคยกัน แต่ก็รู้เลยว่าไม่ใช่ ความรู้สึกที่ต่างกัน ไม่เหมือนเพื่อนคนนั้นไม่รู้แบบไหนนะ อธิบายยากอยู่ มีความสุขเมื่ออยู่ใกล้ แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้คิดได้วนเข้ามาเรื่องนี้อีกล่ะครับ  คิดถึงเป็นห้วงๆ อยากถามข่าว อยากเห็นหน้า
          คิดว่า  เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ...ว่า ไปทำงานที่เชียงใหม่แล้วก็ลงมาอยู่กรุงเทพแล้ว หรือยังคิดว่าเราเตะฝุ่นฝอย ล่องลอยอยู่ก็ไม่รู้...ครับ
          เลยลองเขียนจดหมายถามเพื่อนครับ เขียนที่อยู่ที่พักที่กรุงเทพเสร็จสรรพ เพื่อให้ได้รับจดหมายตอบกลับมา เป็นไปตามใจนึกครับ ได้รับจดหมายตอบกลับมา ผมนี่ใจเต้นตุ๊บๆเลย จำได้ว่า เป็นข้อความทำนองต่อว่า ว่า  ใจดำ ไม่ส่งข่าว ... ก็ยอมรับนะครับ ในความรู้สึกที่ ...เศร้าน่ะ....การที่ได้ ตัดใจแล้ว มันยากแค่ไหน  แล้วกว่าจะสงบใจลงได้  ก็ไม่ได้ง่าย..ก็เห็นกับตาว่าได้ดีแล้ว พบคนที่ถูกใจแล้ว พร้อมแล้ว  เราก็กลับมาเป็นเพื่อนแล้ว  อาจจะมีหลายอย่างที่ต้องทำ เลยเว้นไปบ้าง  คิดว่ายังไม่สาย...แล้วก็เป็นฉบับที่ชีวิตผมเปลี่ยนอีกครั้งต่อมา...
          นับแต่นั้นเป็นต้นมา จากจดหมายฉบับนั้น ผมและเพื่อนก็ได้กลับคืนมาเหมือนสานต่ออีกครั้ง  ผมดีใจนะครับและคิดว่า ผมพอหวังอะไรได้ไหม ถ้ายังไม่สาย  ได้แต่หวังซึ่งอาจเป็นลมแล้งแกล้งกัน ควรเผื่อๆใจไว้ เพราะทางโน้นเขามีเพื่อนเยอะ เราอยู่ตั้งไกล จะมีอะไรไปสู้เขา ได้แต่คุยโทรศัพท์หยอดเหรียญและเขียนจดหมายอีกหลายฉบับจีบไปตามประสาเพื่อนคนหนึ่ง 
         แต่...ไม่นึกไม่ฝันว่า เพื่อนจะมาหาที่กรุงเทพ  เคยได้อ่านจดหมายว่า อยากไปไหนไกลๆกับเรา ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้  ผมเตรียมตัวไปรอเพื่อนที่หมอชิตตั้งแต่ ตี2 เพราะ ตี5 รถทัวร์ เข้าหมอชิด ไปรอซัก 2 ชั่วโมงกว่า ถึงเวลา ตี5 ก็ไม่มีวี่แววจะเจอเพื่อน จะโทรหยอดเหรียญไปถามโรงเรียนบุ่งคล้านคร ก็ไม่รู้ใครจะรับสายตอนตี5  ผมได้แต่เดินไปบริเวณท่ารถที่จะเข้า ก็ไม่มีคันไหนที่มีข้อความข้างรถว่า กรุงเทพ-บ้านแพง  ผมยืนรอด้วยความห่วง กังวลใจ ที่สุดเท่าที่เคยเป็น ไม่รู้จะถามใคร ไม่รู้จะติดต่ออย่างไร เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้  ไม่รู้อะไร ได้แต่อดทนยืนอยู่อย่างนั้น เพราะนั่งไม่ได้เลย หัวจะระเบิด...นอกจากนั้น ผมยังเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดยังติดตาอยู่ทุกวันนี้ ตำรวจจับขี้ยาบนสะพานลอย ตำรวจพยายามล๊อคดึงขี้ยาไม่ให้หนีและยิงปืนขึ้นฟ้าด้วย 2 นัดท่ามกลางฝนตกตอนใกล้สว่าง

          เวลาผ่านไปจนกระทั้ง 10 โมงเช้านิดๆ ผมคิดว่าถ้าไม่เจอเพื่อน ผมจะโทรสอบถามใครก็ได้ที่โรงเรียนบุ่งคล้านคร ว่าเพื่อนอยู่ที่โรงเรียนไหมหรือเดินทางมากรุงเทพฯจริงหรือไม่ แต่ยังไม่ทันจะได้โทร ผมก็เห็นเพื่อนเดินข้ามสะพานลอยมา ผมนี่วิ่งไปหาเลยครับ สอบถามได้ความว่า รถทัวร์ที่เดินทางมา เสียที่โคราช (ถึงว่า) เหตุการณ์ในการมารอเพื่อนที่หมอชิตครั้งนี้ เป็นครั้งที่ผมยืนรอนานหลายชั่วโมง 8 ชั่วโมงกว่า เชื่อว่าคงเป็นบุญวาสนาที่มีต่อกัน สำหรับคนที่เป็นคู่กัน หากผมตัดสินใจพลาด และกลับมาหอพักก่อน พอเพื่อนมาถึงจะโทรเข้าหอพักเราตอนไหน เราคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่  และเหตุการณ์ในวันนั้นก็เป็นการเริ่มต้นความหวังที่ดีงามให้ผมได้เริ่มเข้ามาสานต่ออีกครั้ง  ขอบคุณเทวดา นางฟ้า ที่นำพาเพื่อนให้ได้มาพบกัน ถึงจะลำบากเดินทาง วันเวลาที่แสนสั้น แต่ก็ทำให้ผมได้ตัดสินใจดำเนินชีวิตจากนี้ไปเพื่อเพื่อนที่ผมรักและคิดถึงคนนี้เท่านั้นและตลอดไป